โดยปกติจะมีการเตือนสำหรับ user password expiry ใน 90 วันหลังจากวันที่มีการสร้าง user
ถ้าต้องการให้ user คนใดไม่ให้ password expire ให้ใช้คำสั่ง chage -M 99999 anchalee เป็นต้น หรือแก้ในไฟล์ /etc/shadow เช่น anchalee:$1$OJ.PbnIV$mADdB2do0h8gyu4qiLQWC.:13712:0:99999:7:::
ถ้าต้องการให้ user ที่ add ทุกคนไม่มีวัน password หมดอายุให้แก้ที่ไฟล์ /etc/login.defs
แก้ไขตรง PASS_MAX_DAYS 90 เป็น PASS_MAX_DAYS 99999
Admin ผู้หญิง ตัวเล็ก ๆ ดำ ๆ (แต่แฝงไปด้วยความน่ารัก) คนหนึ่ง ที่ประสบการณ์ยังน้อยนัก แต่รักลีนุกซ์ไม่แพ้ใคร เจออะไรก็เขียน ๆ ไปตามประสา กันลืมนะจ๊ะ อย่าถือสา ^^
วันพฤหัสบดีที่ 3 ธันวาคม พ.ศ. 2552
pfsense 1.2.2 -> captive portal ไม่ redirect ไปหน้า login
สิ่งแวดล้อม : load balance + captive portal
อาการ : เปิด load balance และ captive portal จะไม่เข้าส่วนของหน้า login แต่จะสามารถใช้งานผ่าน port 80 ได้ แต่ port อื่นไม่สามารถใช้งานได้ ถ้าต้องการเข้าหน้า login ต้องเข้าเองโดยผ่าน URL : http://ip-address:8000 ถึงจะเข้าหน้า login ได้ แต่ถ้าลองปิด load balance จะเข้าหน้า login ปกติ
วิธีแก้ :
1. backup config ก่อน
2. download http://mirror.optus.net/pub/pfSense/updates/pfSense-Full-Update-1.2.3-RC3.tgz
3. ไปที่ System -> Firmware -> Manual Update แล้ว คลิก “Enable firmware upload” -> คลิก “Browse” -> เลือก .tgz file -> คลิก “Upgrade Firmware”
4. reboot
พอเสร็จเรียบร้อยอาการที่ว่าก็จะหายเป็นปลิดทิ้ง
อาการ : เปิด load balance และ captive portal จะไม่เข้าส่วนของหน้า login แต่จะสามารถใช้งานผ่าน port 80 ได้ แต่ port อื่นไม่สามารถใช้งานได้ ถ้าต้องการเข้าหน้า login ต้องเข้าเองโดยผ่าน URL : http://ip-address:8000 ถึงจะเข้าหน้า login ได้ แต่ถ้าลองปิด load balance จะเข้าหน้า login ปกติ
วิธีแก้ :
1. backup config ก่อน
2. download http://mirror.optus.net/pub/pfSense/updates/pfSense-Full-Update-1.2.3-RC3.tgz
3. ไปที่ System -> Firmware -> Manual Update แล้ว คลิก “Enable firmware upload” -> คลิก “Browse” -> เลือก .tgz file -> คลิก “Upgrade Firmware”
4. reboot
พอเสร็จเรียบร้อยอาการที่ว่าก็จะหายเป็นปลิดทิ้ง
วันอังคารที่ 24 พฤศจิกายน พ.ศ. 2552
Chat Logs ของ Pidgin บน ubuntu อยู่ที่ไหนกันนะ
คุยอะไรกับใครไว้ ถ้าใช้ pidgin แล้วโปรแกรมเก็บ log ไว้ เข้าไปดูได้ที่นี่เลย
path: ~/.purple/logs
ใครใช้ jabber ก็เก็บใน jabber ใครใช้ msn ก็เก็บใน msn แยกหมวดหมู่อย่างชัดเจน
ทั้งนี้ทั้งนั้นต้อง enable log ก่อนนะคะ ถึงจะเก็บให้
แล้วเข้าตรงไหนล่ะ ถึงจะรู้ว่า enable log ไว้หรือเปล่า
ก็เปิดโปรแกรม pidgin ขึ้นมา แล้วไปที่
Tools -> Preferences ไปที่แทบ Logging เลือกเอาตามใจชอบเจ้าค่ะ ^-^
path: ~/.purple/logs
ใครใช้ jabber ก็เก็บใน jabber ใครใช้ msn ก็เก็บใน msn แยกหมวดหมู่อย่างชัดเจน
ทั้งนี้ทั้งนั้นต้อง enable log ก่อนนะคะ ถึงจะเก็บให้
แล้วเข้าตรงไหนล่ะ ถึงจะรู้ว่า enable log ไว้หรือเปล่า
ก็เปิดโปรแกรม pidgin ขึ้นมา แล้วไปที่
Tools -> Preferences ไปที่แทบ Logging เลือกเอาตามใจชอบเจ้าค่ะ ^-^
วันพุธที่ 11 พฤศจิกายน พ.ศ. 2552
วิธีเปลี่ยน User Interface ให้เป็น Thai ใน OOo บน Ubuntu
1. sudo apt-get install openoffice.org-l10n-th myspell-dictionary-th
2. เปิด OOo แล้วไปที่ Tools -> Options -> Language Settings
3. เลือก Language ตรง User interface เลือก Thai
2. เปิด OOo แล้วไปที่ Tools -> Options -> Language Settings
3. เลือก Language ตรง User interface เลือก Thai
วันจันทร์ที่ 5 ตุลาคม พ.ศ. 2552
วันศุกร์ที่ 2 ตุลาคม พ.ศ. 2552
การเปลี่ยน format date ที่ gnome บน ubuntu
ปกติจะขึ้นแบบนี้ เช่น Fri Oct,2 2009 แต่ถ้าเราต้องการแก้ให้เป็น Fri 2 Oct 2009 ล่ะจะต้องทำยังไงคำตอบก็คือ
1. เปิด terminal ขึ้นมาแล้วพิมพ์ gconf-editor
2. ไปที่ /apps/panel/applets/clock_screen0/prefs/
3. ตั้งค่า format เป็น custom
4. ตั้งค่า custom_format เป็น %a %d %b %Y %H:%M
เพียงเท่านี้ท่านก็จะได้รูปแบบใหม่แล้วยังสามารถปรับแต่งได้ตามต้องการอีกด้วย ^-^
เอ๊ะ แล้ว ค่า %a %d %b %Y %H:%M จะรู้ได้ไง ก็ดูจาก link ข้างล่างเลยจ้า
http://www.opengroup.org/onlinepubs/007908799/xsh/strftime.html
1. เปิด terminal ขึ้นมาแล้วพิมพ์ gconf-editor
2. ไปที่ /apps/panel/applets/clock_screen0/prefs/
3. ตั้งค่า format เป็น custom
4. ตั้งค่า custom_format เป็น %a %d %b %Y %H:%M
เพียงเท่านี้ท่านก็จะได้รูปแบบใหม่แล้วยังสามารถปรับแต่งได้ตามต้องการอีกด้วย ^-^
เอ๊ะ แล้ว ค่า %a %d %b %Y %H:%M จะรู้ได้ไง ก็ดูจาก link ข้างล่างเลยจ้า
http://www.opengroup.org/onlinepubs/007908799/xsh/strftime.html
วันศุกร์ที่ 14 สิงหาคม พ.ศ. 2552
ปัญหาจากการ authen ldap บน Alfresco
จากที่ได้เซต Alfresco ให้ใช้ User authen Ldap จาก Zimbra พบปัญหาใหญ่คือ
สามารถ login ผ่านเวบโดยใช้ ldap authen ได้แต่ไม่สามารถใช้ CIFS ได้
เนื่องจาก CIFS ใช้ MD4 ในการ เข้ารหัส(hash password)
แต่ LDAP ใช้ MD5 หรือไม่ก็ AES ทำให้ CIFS client ส่ง MD4 ไปยัง Alfresco
และส่งไปยัง LDAP แต่ LDAP ใช้การเข้ารหัสคนละแบบทำให้ไม่สามารถ map user เข้ากันได้
สามารถ login ผ่านเวบโดยใช้ ldap authen ได้แต่ไม่สามารถใช้ CIFS ได้
เนื่องจาก CIFS ใช้ MD4 ในการ เข้ารหัส(hash password)
แต่ LDAP ใช้ MD5 หรือไม่ก็ AES ทำให้ CIFS client ส่ง MD4 ไปยัง Alfresco
และส่งไปยัง LDAP แต่ LDAP ใช้การเข้ารหัสคนละแบบทำให้ไม่สามารถ map user เข้ากันได้
วันพุธที่ 5 สิงหาคม พ.ศ. 2552
Install Freeradius + Ldap server on Ubuntu 8.04.2 LTS
เนื่องจาก Pfsense มีส่วนของ Freeradius แต่ไม่มีส่วนที่สามารถ connect ldap ได้ จึงตั้ง Radius Server แยกออกมาต่างหาก เพื่อให้สามารถใช้ ldap authen ได้ โดย
1. ติดตั้ง Freeradius package โดย
2. เริ่มการทำงานของ freeradius โดย
3. ทดสอบการเชื่อมต่อโดย ใช้คำสั่ง radtest user password localhost port secret
4. จากผลลัพธ์แสดงว่าสามารถใช้ฐานข้อมูล radius ได้แล้ว ต่อไปให้ทำการคอนฟิกให้สามารถ connect ldap จาก zimbra โดยแก้ไขไฟล์ /etc/freeradius/radiusd.conf
5. แก้ไขไฟล์ /etc/freeradius/clients.conf
6. แก้ไขไฟล์ /etc/freeradius/users
7. ทดสอบใน debug mode โดย
1. ติดตั้ง Freeradius package โดย
root@radiusserver:~# aptitude install freeradius freeradius-ldap |
2. เริ่มการทำงานของ freeradius โดย
root@radiusserver:~# /etc/init.d/freeradius start |
3. ทดสอบการเชื่อมต่อโดย ใช้คำสั่ง radtest user password localhost port secret
root@radiusserver:~# radtest root mypassword localhost 0 testing123 Sending Access-Request of id 132 to 192.168.1.13 port 1812 User-Name = "root" User-Password = "mypassword" NAS-IP-Address = 255.255.255.255 NAS-Port = 0 Re-sending Access-Accept of id 132 to 192.168.1.13 port 1812 |
4. จากผลลัพธ์แสดงว่าสามารถใช้ฐานข้อมูล radius ได้แล้ว ต่อไปให้ทำการคอนฟิกให้สามารถ connect ldap จาก zimbra โดยแก้ไขไฟล์ /etc/freeradius/radiusd.conf
LDAP Configuration: ldap { server = "mail.company.co.th" # identity = "cn=admin,o=My Org,c=UA" # password = mypass basedn = "dc=company,dc=co,dc=th" filter = "(uid=%{Stripped-User-Name:-%{User-Name}})" .... .... #access_attr = "dialupAccess" # Authorization authorize { ldap //เอาคอมเมนต์ออก # Authentication //เอาคอมเมนต์ออก 3 บรรทัด authenticate { Auth-Type LDAP { ldap } |
5. แก้ไขไฟล์ /etc/freeradius/clients.conf
client 192.168.1.0/24 { # # The shared secret use to "encrypt" and "sign" packets between # the NAS and FreeRADIUS. You MUST change this secret from the # default, otherwise it's not a secret any more! # # The secret can be any string, up to 31 characters in length. # secret = mypassword # # The short name is used as an alias for the fully qualified # domain name, or the IP address. # shortname = INTERNAL_SUBNET |
6. แก้ไขไฟล์ /etc/freeradius/users
#DEFAULT Auth-Type = System # Fall-Through = 1 DEFAULT Auth-Type = LDAP Fall-Through = 1 |
7. ทดสอบใน debug mode โดย
root@radiusserver:~# /etc/init.d/freeradius stop root@radiusserver:~# freeradius -X -A //เปิดทิ้งไว้เลยแล้วเปิดแท็บใหม่แล้วใช้ radtest ทดสอบว่าสามารถ authen ผ่าน ldap ได้หรือยัง root@radiusserver:~# radtest anchalee password 192.168.1.13 0 mypassword Sending Access-Request of id 44 to 192.168.1.13 port 1812 User-Name = "anchalee" User-Password = "password" NAS-IP-Address = 255.255.255.255 NAS-Port = 0 rad_recv: Access-Accept packet from host 192.168.1.13:1812, id=44, length=20 //แสดงว่าสามารถเชื่อมต่อผ่าน ldap ได้แล้ว ^-^ |
Setting up OCS inventory NG on Ubuntu 8.04.2 LTS
OCS Inventory NG เป็น Asset Management ประเภทหนึ่ง ซึ่งช่วยให้ดูรายละเอียดในเครื่องได้โดยไม่ต้องไปแกะฮาร์ดแวร์ และยังช่วยด้านจัดการซอฟต์แวร์ ซึ่งสามารถตรวจสอบถึงซอฟต์แวร์ที่ละเมิดลิขสิทธิ์ได้
สิ่งที่ต้องเตรียม
1. Apache2
2. PHP5
3. MySQL
4. Perl and Perl Modules
5. Make Utilities (sudo aptitude install make)
ณ ที่นี้จะไม่พูดถึงกรณีติดตั้ง LAMP แต่สามารถติดตั้งได้ง่าย ๆ โดยใช้คำสั่ง tasksel และทำการติดตั้ง LAMP Server
1. ติดตั้ง Perl Modules ที่ใช้ในการติดต่อกับเซิฟเวอร์โดย
2. ติดตั้ง PHP Modules
3. ติดตั้งOCSNG_UNIX_SERVER-1.02.1.tar.gz โดย
4. Create Database โดยเข้าผ่าน URL : http://192.168.1.12/ocsreports/install.php
สิ่งที่ต้องเตรียม
1. Apache2
2. PHP5
3. MySQL
4. Perl and Perl Modules
5. Make Utilities (sudo aptitude install make)
ณ ที่นี้จะไม่พูดถึงกรณีติดตั้ง LAMP แต่สามารถติดตั้งได้ง่าย ๆ โดยใช้คำสั่ง tasksel และทำการติดตั้ง LAMP Server
1. ติดตั้ง Perl Modules ที่ใช้ในการติดต่อกับเซิฟเวอร์โดย
staffs@ocsinventory:~$ sudo aptitude install libxml-simple-perl libcompress-zlib-perl libdbi-perl libdbd-mysql-perl libapache-dbi-perl libnet-ip-perl libsoap-lite-perl |
2. ติดตั้ง PHP Modules
staffs@ocsinventory:~$ sudo aptitude install libphp-pclzip php5-gd |
3. ติดตั้งOCSNG_UNIX_SERVER-1.02.1.tar.gz โดย
staffs@ocsinventory:~$ wget http://sourceforge.net/projects/ocsinventory/files/OCS%20Inventory%20NG/1.02/OCSNG_UNIX_SERVER-1.02.1.tar.gz/download staffs@ocsinventory:~$ tar xvfz OCSNG_UNIX_SERVER-1.02.1.tar.gz staffs@ocsinventory:~$ cd OCSNG_UNIX_SERVER-1.02.1 staffs@ocsinventory:~$ sudo ./setup.sh |
+----------------------------------------------------------+ | | | Welcome to OCS Inventory NG Management server setup ! | | | +----------------------------------------------------------+ CAUTION: If upgrading Communication server from OCS Inventory NG 1.0 RC2 and previous, please remove any Apache configuration for Communication Server! Do you wish to continue ([y]/n)? [enter] |
Assuming Communication server 1.0 RC2 or previous is not installed on this computer. Starting OCS Inventory NG Management server setup from folder /tmp/OCSNG_UNIX_SERVER-1.02.1 Storing log in file /tmp/OCSNG_UNIX_SERVER-1.02.1/ocs_server_setup.log +----------------------------------------------------------+ | Checking for database server properties... | +----------------------------------------------------------+ Your MySQL client seems to be part of MySQL version 5.0. Your computer seems to be running MySQL 4.1 or higher, good ;-) Which host is running database server [localhost] ? [enter] |
OK, database server is running on host localhost ;-) On which port is running database server [3306] ? [enter] |
OK, database server is running on port 3306 ;-) +----------------------------------------------------------+ | Checking for Apache web server daemon... | +----------------------------------------------------------+ Where is Apache daemon binary [/usr/sbin/apache2] ? [enter] |
OK, using Apache daemon /usr/sbin/apache2 ;-) +----------------------------------------------------------+ | Checking for Apache main configuration file... | +----------------------------------------------------------+ Where is Apache main configuration file [/etc/apache2/apache2.conf] ? [enter] |
OK, using Apache main configuration file /etc/apache2/apache2.conf ;-) +----------------------------------------------------------+ | Checking for Apache user account... | +----------------------------------------------------------+ Which user account is running Apache web server [${APACHE_RUN_USER}] ?www-data |
OK, Apache is running under user account www-data ;-) +----------------------------------------------------------+ | Checking for Apache group... | +----------------------------------------------------------+ Which user group is running Apache web server [${APACHE_RUN_GROUP}] ?www-data |
OK, Apache is running under users group www-data ;-) +----------------------------------------------------------+ | Checking for Apache Include configuration directory... | +----------------------------------------------------------+ Setup found Apache Include configuration directory in //etc/apache2/conf.d/. Setup will put OCS Inventory NG Apache configuration in this directory. Where is Apache Include configuration directory [//etc/apache2/conf.d/] ? [enter] |
OK, Apache Include configuration directory //etc/apache2/conf.d/ found ;-) +----------------------------------------------------------+ | Checking for PERL Interpreter... | +----------------------------------------------------------+ Found PERL Intrepreter at ;-) Where is PERL Intrepreter binary [/usr/bin/perl] ? [enter] |
OK, using PERL Intrepreter /usr/bin/perl ;-) Do you wish to setup Communication server on this computer ([y]/n)? [enter] |
+----------------------------------------------------------+ | Checking for Make utility... | +----------------------------------------------------------+ OK, Make utility found at ;-) +----------------------------------------------------------+ | Checking for Apache mod_perl version... | +----------------------------------------------------------+ Checking for Apache mod_perl version 1.99_22 or higher Found that mod_perl version 1.99_22 or higher is available. OK, Apache is using mod_perl version 1.99_22 or higher ;-) +----------------------------------------------------------+ | Checking for Communication server log directory... | +----------------------------------------------------------+ Communication server can create detailled logs. This logs can be enabled by setting interger value of LOGLEVEL to 1 in Administration console menu Configuration. Where to put Communication server log directory [/var/log/ocsinventory-server] ? [enter] |
OK, Communication server will put logs into directory /var/log/ocsinventory-server ;-) +----------------------------------------------------------+ | Checking for required Perl Modules... | +----------------------------------------------------------+ Checking for DBI PERL module... Found that PERL module DBI is available. Checking for Apache::DBI PERL module... Found that PERL module Apache::DBI is available. Checking for DBD::mysql PERL module... Found that PERL module DBD::mysql is available. Checking for Compress::Zlib PERL module... Found that PERL module Compress::Zlib is available. Checking for XML::Simple PERL module... Found that PERL module XML::Simple is available. Checking for Net::IP PERL module... Found that PERL module Net::IP is available. +----------------------------------------------------------+ | Checking for optional Perl Modules... | +----------------------------------------------------------+ Checking for SOAP::Lite PERL module... Found that PERL module SOAP::Lite is available. Checking for XML::Entities PERL module... *** Warning: PERL module XML::Entities is not installed ! This module is only required by OCS Inventory NG SOAP Web Service. Do you wish to continue ([y]/n] ? [enter] |
+----------------------------------------------------------+ | OK, looks good ;-) | | | | Configuring Communication server Perl modules... | +----------------------------------------------------------+ Checking if your kit is complete... Looks good Writing Makefile for Apache::Ocsinventory +----------------------------------------------------------+ | OK, looks good ;-) | | | | Preparing Communication server Perl modules... | +----------------------------------------------------------+ +----------------------------------------------------------+ | OK, prepare finshed ;-) | | | | Installing Communication server Perl modules... | +----------------------------------------------------------+ +----------------------------------------------------------+ | OK, Communication server Perl modules install finished;-)| | | | Creating Communication server log directory... | +----------------------------------------------------------+ Creating Communication server log directory /var/log/ocsinventory-server. Fixing Communication server log directory files permissions. Configuring logrotate for Communication server. Removing old communication server logrotate file /etc/logrotate.d/ocsinventory-NG Writing communication server logrotate to file /etc/logrotate.d/ocsinventory-server +----------------------------------------------------------+ | OK, Communication server log directory created ;-) | | | | Now configuring Apache web server... | +----------------------------------------------------------+ To ensure Apache loads mod_perl before OCS Inventory NG Communication Server, Setup can name Communication Server Apache configuration file 'z-ocsinventory-server.conf' instead of 'ocsinventory-server.conf'. Do you allow Setup renaming Communication Server Apache configuration file to 'z-ocsinventory-server.conf' ([y]/n) ? [enter] |
OK, using 'z-ocsinventory-server.conf' as Communication Server Apache configuration file Removing old communication server configuration to file //etc/apache2/conf.d//ocsinventory.conf Writing communication server configuration to file //etc/apache2/conf.d//z-ocsinventory-server.conf +----------------------------------------------------------+ | OK, Communication server setup sucessfully finished ;-) | | | | Please, review //etc/apache2/conf.d//z-ocsinventory-server.conf | to ensure all is good. Then restart Apache daemon. | +----------------------------------------------------------+ Do you wish to setup Administration Server (Web Administration Console) on this computer ([y]/n)? [enter] |
+----------------------------------------------------------+ | Checking for Administration Server directories... | +----------------------------------------------------------+ CAUTION: Setup now install files in accordance with Filesystem Hierarchy Standard. So, no file is installed under Apache root document directory (Refer to Apache configuration files to locate it). If you're upgrading from OCS Inventory NG Server 1.01 and previous, YOU MUST REMOVE (or move) directories 'ocsreports' and 'download' from Apache root document directory. If you choose to move directory, YOU MUST MOVE 'download' directory to Administration Server writable/cache directory (by default /var/lib/ocsinventory-reports), especialy if you use deployement feature. Do you wish to continue ([y]/n)? [enter] |
Assuming directories 'ocsreports' and 'download' removed from Apache root document directory. Where to copy Administration Server static files for PHP Web Console [/usr/share/ocsinventory-reports] ? [enter] |
Assuming directories 'ocsreports' and 'download' removed from Apache root document directory. Where to copy Administration Server static files for PHP Web Console [/usr/share/ocsinventory-reports] ? OK, using directory /usr/share/ocsinventory-reports to install static files ;-) Where to create writable/cache directories for deployement packages and IPDiscover [/var/lib/ocsinventory-reports] ? [enter] |
OK, writable/cache directory is /var/lib/ocsinventory-reports ;-) +----------------------------------------------------------+ | Checking for required Perl Modules... | +----------------------------------------------------------+ Checking for DBI PERL module... Found that PERL module DBI is available. Checking for DBD::mysql PERL module... Found that PERL module DBD::mysql is available. Checking for XML::Simple PERL module... Found that PERL module XML::Simple is available. Checking for Net::IP PERL module... Found that PERL module Net::IP is available. +----------------------------------------------------------+ | Installing files for Administration server... | +----------------------------------------------------------+ Creating PHP directory /usr/share/ocsinventory-reports/ocsreports. Copying PHP files to /usr/share/ocsinventory-reports/ocsreports. Fixing permissions on directory /usr/share/ocsinventory-reports/ocsreports. Creating database configuration file /usr/share/ocsinventory-reports/ocsreports/dbconfig.inc.php. Creating IPDiscover directory /var/lib/ocsinventory-reports/ipd. Fixing permissions on directory /var/lib/ocsinventory-reports/ipd. Creating packages directory /var/lib/ocsinventory-reports/download. Fixing permissions on directory /var/lib/ocsinventory-reports/download. Configuring IPDISCOVER-UTIL Perl script. Installing IPDISCOVER-UTIL Perl script. Fixing permissions on IPDISCOVER-UTIL Perl script. Writing Administration server configuration to file //etc/apache2/conf.d//ocsinventory-reports.conf +----------------------------------------------------------+ | OK, Administration server installation finished ;-) | | | | Please, review //etc/apache2/conf.d//ocsinventory-reports.conf | to ensure all is good and restart Apache daemon. | | | | Then, point your browser to http://server//ocsreports | to configure database server and create/update schema. | +----------------------------------------------------------+ Setup has created a log file /tmp/OCSNG_UNIX_SERVER-1.02.1/ocs_server_setup.log. Please, save this file. If you encounter error while running OCS Inventory NG Management server, we can ask you to show us his content ! DON'T FORGET TO RESTART APACHE DAEMON ! Enjoy OCS Inventory NG ;-) |
4. Create Database โดยเข้าผ่าน URL : http://192.168.1.12/ocsreports/install.php
วันอังคารที่ 28 กรกฎาคม พ.ศ. 2552
Step By Step - Alfresco authentication ldap with Zimbra
หลังจากที่มีการติดตั้ง Zimbra ไว้แล้ว ทีนี้เราจะใช้ User เดียวกันกับ zimbra ให้มา login ใน Alfresco สามารถทำได้โดย
1. Copy ไฟล์ ldap-authentication-context.xml.sample โดย เข้าไปที่ /opt/alfresco/tomcat/shared/classes/alfresco/extension
2. Copy ไฟล์ ldap-authentication.properties จากไดเรคทอรีเดียวกัน
3. แก้ไขไฟล์ ldap-authentication.properties โดยระบุ Username
ตรวจสอบ BaseDN ของ zimbra โดยไปที่เครื่อง zimbra และใช้ คำสั่ง ldapsearch -x
4. ระบุ Hostname และ Port ของ ldap
สามารถตรวจสอบ URL ได้โดยไปที่เครื่อง zimbra
นำ URL มาใส่ในส่วน ldap.authentication.java.naming.provider.url ในไฟล์ ldap-authentication.properties
5. เปลี่ยนจาก DIGEST-MD5 เป็น simple
6. ระบุ user dn(ตรวจสอบเหมือนข้อ 3) สำหรับเข้าถึง ldap พร้อมพาสเวิร์ด
7. บันทึกไฟล์ property
8. stop service alfresco และทำการ start อีกครั้ง
1. Copy ไฟล์ ldap-authentication-context.xml.sample โดย เข้าไปที่ /opt/alfresco/tomcat/shared/classes/alfresco/extension
root@alfresco:~# cd /opt/alfresco/tomcat/shared/classes/alfresco/extension root@alfresco:/opt/alfresco/tomcat/shared/classes/alfresco/extension# cp ldap-authentication-context.xml.sample ldap-authentication-context.xml |
2. Copy ไฟล์ ldap-authentication.properties จากไดเรคทอรีเดียวกัน
root@alfresco:/opt/alfresco/tomcat/shared/classes/alfresco/extension# cp ldap-authentication.properties.sample ldap-authentication.properties |
3. แก้ไขไฟล์ ldap-authentication.properties โดยระบุ Username
ตรวจสอบ BaseDN ของ zimbra โดยไปที่เครื่อง zimbra และใช้ คำสั่ง ldapsearch -x
root@zimbra:~# su - zimbra zimbra@zimbra:~$ ldapsearch -x # local dn: dc=local dc: local objectClass: dcObject objectClass: organization o: local domain # osdev.local dn: dc=osdev,dc=local zimbraMailStatus: enabled zimbraId: e8cfcc00-df85-407c-b913-b5495a9aad05 dc: osdev zimbraDomainName: osdev.local zimbraDomainType: local objectClass: dcObject objectClass: organization objectClass: zimbraDomain o: osdev.local domain # people, osdev.local dn: ou=people,dc=osdev,dc=local ou: people objectClass: organizationalRole cn: people ...... .... .. |
root@alfresco:/opt/alfresco/tomcat/shared/classes/alfresco/extension# nano ldap-authentication.properties #ldap.authentication.userNameFormat=%s ldap.authentication.userNameFormat=uid=%s,ou=people,dc=osdev,dc=local |
4. ระบุ Hostname และ Port ของ ldap
สามารถตรวจสอบ URL ได้โดยไปที่เครื่อง zimbra
zimbra@zimbra:~$ zmlocalconfig -s |grep ldap //สังเกตุตรงส่วน ldap_master_url ldap_connect_pool_prefsize = 0 ldap_connect_pool_timeout = 120000 ldap_connect_timeout = 30000 ldap_deref_aliases = always ldap_host = zimbra.osdev.local ldap_is_master = true ldap_log_level = 49152 ldap_master_url = ldap://zimbra.osdev.local:389 ldap_nginx_password = bBsKhElLf ldap_port = 389 |
นำ URL มาใส่ในส่วน ldap.authentication.java.naming.provider.url ในไฟล์ ldap-authentication.properties
ldap.authentication.java.naming.provider.url=ldap://zimbra.osdev.local:389 |
5. เปลี่ยนจาก DIGEST-MD5 เป็น simple
#ldap.authentication.java.naming.security.authentication=DIGEST-MD5 ldap.authentication.java.naming.security.authentication=simple |
6. ระบุ user dn(ตรวจสอบเหมือนข้อ 3) สำหรับเข้าถึง ldap พร้อมพาสเวิร์ด
#ldap.authentication.java.naming.security.principal=reader ldap.authentication.java.naming.security.principal=uid=admin,ou=people,dc=osdev,dc=local # The password for the default principal (only used for LDAP sync) ldap.authentication.java.naming.security.credentials=password |
7. บันทึกไฟล์ property
8. stop service alfresco และทำการ start อีกครั้ง
วันพุธที่ 24 มิถุนายน พ.ศ. 2552
Centralize-Log Server On Ubuntu
หลังจากติดตั้ง Ubuntu 8.04.2 LTS(รวม dns, ssh-server, LAMP)
1. จัดการระบบเน็ตเวิร์คเบื้องต้น(ต้องสามารถใช้งานอินเทอร์เน็ตได้)
1.1 แก้ไขไฟล์ /etc/network/interfaces
1.2 ทดสอบการใช้งาน Internet โดยใช้คำสั่ง ping
2. update ระบบ
3. เปิดการทำงาน Packet Forwarding ที่ /etc/sysctl.conf
โหลดค่าการทำงานโดย
4. ติดตั้ง ntp พร้อมคอนฟิก /etc/ntp.conf และตรวจสอบ
ตรวจสอบ Time zone
แก้ไขไฟล์ /etc/ntp.conf
เริ่มการทำงานของ ntpd
5. ติดตั้ง rsyslog, rsyslog-mysql, phpmyadmin
6. ปิดการทำงานของ syslogd
7. ติดตั้ง stunnel(สร้างการเชื่อมต่อแบบ ssl), openssl
8. สร้าง certificate โดยใช้ openssl
9. สร้างคอนฟิกไฟล์สำหรับ stunnel พร้อม start service
แก้ไฟล์ /etc/default/stunnel4
เริ่มการทำงานโดย
แก้ไขไฟล์ /etc/default/rsyslog
เริ่มการทำงานของ rsyslog โดย
10. แก้ไขคอนฟิกไฟล์ /etc/rsyslog.conf เพื่อเพิ่ม Module MySQL พร้อม start service
11. ตรวจสอบโดยให้เครื่อง client ลองส่ง log เข้าใน syslog
เซตให้ Pfsense ส่ง log มาที่ logserver
12. ติดตั้ง phplogcon โดยดาวน์โหลด source พร้อมคอนฟิก
เข้าสู่หน้าเวบโดย http://192.168.1.10/phplogcon/src จากนั้นทำการติดตั้ง
ต้องการติดตั้งใหม่ทำได้โดยลบ config.php ใน /var/www/phplogcon/src
1. จัดการระบบเน็ตเวิร์คเบื้องต้น(ต้องสามารถใช้งานอินเทอร์เน็ตได้)
1.1 แก้ไขไฟล์ /etc/network/interfaces
# This file describes the network interfaces available on your system # and how to activate them. For more information, see interfaces(5). # The loopback network interface auto lo iface lo inet loopback # The primary network interface auto eth0 iface eth0 inet static address 192.168.1.10 netmask 255.255.255.0 gateway 192.168.1.1 |
1.2 ทดสอบการใช้งาน Internet โดยใช้คำสั่ง ping
admins@logserver:~$ ping google.com PING google.com (74.125.127.100) 56(84) bytes of data. 64 bytes from pz-in-f100.google.com (74.125.127.100): icmp_seq=1 ttl=241 time=284 ms 64 bytes from pz-in-f100.google.com (74.125.127.100): icmp_seq=2 ttl=241 time=283 ms |
2. update ระบบ
admins@logserver:~$ sudo apt-get update |
3. เปิดการทำงาน Packet Forwarding ที่ /etc/sysctl.conf
admins@logserver:~$ sudo vi /etc/sysctl.conf เอา comment(#) ข้างหน้า net.ipv4.ip_forward=1 |
โหลดค่าการทำงานโดย
admins@logserver:~$ sudo sysctl -p |
4. ติดตั้ง ntp พร้อมคอนฟิก /etc/ntp.conf และตรวจสอบ
admins@logserver:~$ sudo aptitude install ntp |
ตรวจสอบ Time zone
admins@logserver:~$ ls -l /etc/localtime -rw-r--r-- 1 root root 178 2009-06-22 14:52 /etc/localtime admins@logserver:~$ sudo ln -sf /usr/share/zoneinfo/Asia/Bangkok /etc/localtime admins@logserver:~$ ls -l /etc/localtime lrwxrwxrwx 1 root root 32 2009-06-23 17:07 /etc/localtime -> /usr/share/zoneinfo/Asia/Bangkok |
แก้ไขไฟล์ /etc/ntp.conf
เพิ่ม server 192.168.1.1 เพื่อ sync เวลากับเครื่อง 192.168.1.1 server 192.168.1.1 server time.navy.mi.th #กันเหนียว server time1.nimt.or.th #กันเหนียว server clock.nectec.or #กันเหนียว |
เริ่มการทำงานของ ntpd
admins@logserver:~$ sudo /etc/init.d/ntp start |
5. ติดตั้ง rsyslog, rsyslog-mysql, phpmyadmin
admins@logserver:~$ sudo aptitude install rsyslog rsyslog-mysql phpmyadmin |
6. ปิดการทำงานของ syslogd
admins@logserver:~$ cd /etc/rc2.d admins@logserver:/etc/rc2.d$ mv S10sysklogd _s10sysklogd |
7. ติดตั้ง stunnel(สร้างการเชื่อมต่อแบบ ssl), openssl
admins@logserver:~$ sudo aptitude install openssl stunnel |
8. สร้าง certificate โดยใช้ openssl
admins@logserver:~$ cd /etc/stunnel/ admins@logserver:/etc/stunnel$ openssl req -new -x509 -days 3650 -nodes -out stunnel.pem -keyout stunnel.pem |
9. สร้างคอนฟิกไฟล์สำหรับ stunnel พร้อม start service
admins@logserver:~$ sudo vi /etc/stunnel/syslog-server.conf พิมพ์ cert = /etc/stunnel/stunnel.pem debug = 7 [rsyslogd] accept = 60514 connect = 61514 |
แก้ไฟล์ /etc/default/stunnel4
ENABLE=1 FILES="/etc/stunnel/syslog-server.conf" |
เริ่มการทำงานโดย
admins@logserver:~$ sudo /etc/init.d/stunnel4 start |
แก้ไขไฟล์ /etc/default/rsyslog
RSYSLOGD_OPTIONS="-m 0 -r -t 61514" |
เริ่มการทำงานของ rsyslog โดย
admins@logserver:~$ sudo /etc/init.d/rsyslog start |
10. แก้ไขคอนฟิกไฟล์ /etc/rsyslog.conf เพื่อเพิ่ม Module MySQL พร้อม start service
admins@logserver:~$ sudo vi /etc/rsyslog.conf เพิ่ม $ModLoad ommysql *.* :ommysql:127.0.0.1,Syslog,root,password $template DynaFile,"/var/log/mylogs/%HOSTNAME%.%$DAY%%$MONTH%%$YEAR%.log" *.* -?DynaFile |
11. ตรวจสอบโดยให้เครื่อง client ลองส่ง log เข้าใน syslog
เซตให้ Pfsense ส่ง log มาที่ logserver
12. ติดตั้ง phplogcon โดยดาวน์โหลด source พร้อมคอนฟิก
admins@logserver:~$ wget http://www.phplogcon.org/Downloads-req-getit-lid-56.phtml admins@logserver:~$ cd /var/www admins@logserver:/var/www$ sudo tar xvfz phplogcon-2.6.3.tar.gz admins@logserver:/var/www$ sudo mv phplogconf-2.6.3 phplogcon admins@logserver:/var/www$ sudo chown -R www-data.www-data /var/www/phplogcon |
เข้าสู่หน้าเวบโดย http://192.168.1.10/phplogcon/src จากนั้นทำการติดตั้ง
ต้องการติดตั้งใหม่ทำได้โดยลบ config.php ใน /var/www/phplogcon/src
วันจันทร์ที่ 22 มิถุนายน พ.ศ. 2552
แก้ปัญหา dns ไม่เวิร์กก่อน redirect ไปหน้า login ใน Pfsense
ปัญหา : เข้าเวบบางเวบแล้วไม่ redirect ไปหน้า login ขึ้น Error
สมมุติฐาน : dns ไม่สามารถ resolve ชื่อเวบนั้น ๆ ได้
วิธีแก้ไข : ไปที่ Services -> Captive Portal ไปที่แท็บ Allowed IP Address แล้วเพิ่ม dns ของ ISP หรือ dns server ลงไป
สมมุติฐาน : dns ไม่สามารถ resolve ชื่อเวบนั้น ๆ ได้
วิธีแก้ไข : ไปที่ Services -> Captive Portal ไปที่แท็บ Allowed IP Address แล้วเพิ่ม dns ของ ISP หรือ dns server ลงไป
วันพุธที่ 17 มิถุนายน พ.ศ. 2552
ส่ง squid log จาก pfsense ให้เข้า syslog
ไปที่ Services -> Proxy server
เพิ่ม Custom Options
จากนั้นตรวจสอบโดยไปที่ Status -> System Logs ดูในแท็บ Portal Auth จะมี access.log ของ squid วิ่งอยู่ค่า ^-^
สำหรับ squid 2.7 ถ้าใส่แบบเดิมจะขึ้น error แบบนี้
“Cannot open ‘syslog’ for writing. The parent directory must be writeable by the user ‘proxy’”
ให้ใส่ตรง Custom Options เป็น access_log syslog:daemon common
ที่มา : http://www.implementer.co.th/wordpress/syslog-squid-pfsense-proble/
เพิ่ม Custom Options
จากนั้นตรวจสอบโดยไปที่ Status -> System Logs ดูในแท็บ Portal Auth จะมี access.log ของ squid วิ่งอยู่ค่า ^-^
สำหรับ squid 2.7 ถ้าใส่แบบเดิมจะขึ้น error แบบนี้
“Cannot open ‘syslog’ for writing. The parent directory must be writeable by the user ‘proxy’”
ให้ใส่ตรง Custom Options เป็น access_log syslog:daemon common
ที่มา : http://www.implementer.co.th/wordpress/syslog-squid-pfsense-proble/
ทำให้ rsyslog เก็บลง mysql
ทำบน Ubuntu 8.04 ค่า แต่ต้องติดตั้งแล้วก็คอนฟิก rsyslog เรียบร้อยนะคะ แล้วเราต้องการให้ rsyslog เก็บ log ลงฐานข้อมูล MySQL ทำได้โดย
1. sudo aptitude install rsyslog-mysql
2. sudo nano /etc/rsyslog.conf
3.เพิ่ม
1. sudo aptitude install rsyslog-mysql
2. sudo nano /etc/rsyslog.conf
3.เพิ่ม
$ModLoad ommysql //
โหลดโมดูล*.* :ommysql:database-server,database-name,database-userid,database-password
//ทำให้ rsyslog เขียนลงฐานข้อมูล
แก้ไข
database-server,database-name,database-userid,database-password ให้ถูกต้องตามที่ตั้งไว้ เช่น
*.* :ommysql:127.0.0.1,Syslog,syslogwriter,password
4. restart service โดย sudo /etc/init.d/rsyslog restart
5. ตรวจสอบโดยใช้ PHPMyAdmin หรือ PHPLogcon ค่า
วันอังคารที่ 9 มิถุนายน พ.ศ. 2552
สำหรับศึกษา Pfsense
ช่วงนี้แอดมินสุดสวยต้องหาเครื่องมือสำหรับจัดการ ADSL Load balance และเก็บ log ตาม พรบ. ได้ในตัว เลยศึกษาเจ้า Pfsense ซะหน่อย มาดูแหล่งกันก่อนดีกว่านะคะ
ของไทย
www.linuxthai.org
http://www.laontalk.com เวบนี้ชอบเพราะมีวีดีโอสอนด้วย ^-^
แค่สองเวบก็เกินพอ
สำหรับเวบต้นฉบับ
http://www.pfsense.com/
ของไทย
www.linuxthai.org
http://www.laontalk.com เวบนี้ชอบเพราะมีวีดีโอสอนด้วย ^-^
แค่สองเวบก็เกินพอ
สำหรับเวบต้นฉบับ
http://www.pfsense.com/
จับคู่ชื่อและเวอร์ชันของ Ubuntu
เหตุการณ์
A : เอ๊ะ Ubuntu ที่ชื่อ Hardy นี่เวอร์ชันไรนะ
B : (ระลึกชาติ) 8.04 ค่ะ(ตอบเสียงแข็ง) เอ๊ะ ใช่ป่าวนะ ชักไม่แน่ใจ....
ก็เลยทำไว้เล่น ๆ กันลืมค่า ^-^
Version Name
6.10 Edgy
7.04 Feisty Fawn
7.10 Gutsy Gibbon
8.04 Hardy Heron
8.10 Intrepid Ibex
9.04 Jaunty Jackalope
A : เอ๊ะ Ubuntu ที่ชื่อ Hardy นี่เวอร์ชันไรนะ
B : (ระลึกชาติ) 8.04 ค่ะ(ตอบเสียงแข็ง) เอ๊ะ ใช่ป่าวนะ ชักไม่แน่ใจ....
ก็เลยทำไว้เล่น ๆ กันลืมค่า ^-^
Version Name
6.10 Edgy
7.04 Feisty Fawn
7.10 Gutsy Gibbon
8.04 Hardy Heron
8.10 Intrepid Ibex
9.04 Jaunty Jackalope
วันพุธที่ 27 พฤษภาคม พ.ศ. 2552
การจัดการ password ldap ใน zimbra
Make sure that slapd is running. Note that the actual process id (pid) will vary.
$ ldap status
slapd running pid: 32266
Update the ldap root password.
$ zmldappasswd -r newrootpass
Update the zimbra ldap password.
$ zmldappasswd newpass
If necessary, update the password for other ldap users (amavis, replication, nginx, postfix).
ที่มา http://wiki.zimbra.com/index.php?title=Resetting_LDAP_%26_MySQL_Passwords
การดู Password ที่ตั้งไว้แล้วตรวจสอบได้โดย
zmlocalconfig -s |fgrep ldap
$ ldap status
slapd running pid: 32266
Update the ldap root password.
$ zmldappasswd -r newrootpass
Update the zimbra ldap password.
$ zmldappasswd newpass
If necessary, update the password for other ldap users (amavis, replication, nginx, postfix).
ที่มา http://wiki.zimbra.com/index.php?title=Resetting_LDAP_%26_MySQL_Passwords
การดู Password ที่ตั้งไว้แล้วตรวจสอบได้โดย
zmlocalconfig -s |fgrep ldap
วันพุธที่ 13 พฤษภาคม พ.ศ. 2552
วันพุธที่ 8 เมษายน พ.ศ. 2552
ติดตั้ง swat บน ubuntu server 8.10
1. sudo aptitude install swat
2. เนื่องจาก swat ทำงานผ่าน inetd จึงต้อง restart service ใหม่โดย
sudo /etc/init.d/samba restart
3. เปิด browser http://server-ip:901
4. login ด้วย root ของระบบ จึงจะสามารถคอนฟิกค่าต่าง ๆ ได้
2. เนื่องจาก swat ทำงานผ่าน inetd จึงต้อง restart service ใหม่โดย
sudo /etc/init.d/samba restart
3. เปิด browser http://server-ip:901
4. login ด้วย root ของระบบ จึงจะสามารถคอนฟิกค่าต่าง ๆ ได้
วันศุกร์ที่ 3 เมษายน พ.ศ. 2552
ติดตั้ง Alfresco Lab 3 บน Ubuntu 8.10
เตรียมตัวก่อนติดตั้ง
1. ติดตั้ง jre โดย
2. ตรวจสอบ echo $JAVA_HOME ต้องได้ผลลัพธ์เป็น /usr/lib/jvm/java-6-sun/
ขั้นตอนการติดตั้ง
1. ดาวน์โหลด alfresco-labs-tomcat-3Stable.tar.gz จาก ดาวน์โหลด
2. สร้าง directory alfresco ที่ /opt โดย
3. นำไฟล์ที่ดาวน์โหลดมาแตกไว้ใน /opt/alfresco โดยใช้คำสั่ง
4. แก้ไขไฟล์ /etc/environment โดยเพิ่ม ดังนี้
ขั้นตอนการติดตั้ง WCM
1. ดาวน์โหลดแพ็คเกจ alfresco-labs-wcm-3Stable.tar.gz จาก ดาวน์โหลด
2. แตกไฟล์ โดย
3. ติดตั้ง WCM Bootstrap โดย copy ไฟล์ wcm-bootstrap-context.xml ไปไว้ที่ tomcat/shared/classes/alfresco/extension โดย ใช้คำสั่ง
5. รันคำสั่ง
6. รันคำสั่ง ./alfresco.sh start จะได้ผลลัพธ์ดังนี้
ถ้ารันแล้วได้ผลแบบนี้
Neither the JAVA_HOME nor the JRE_HOME environment variable is defined
At least one of these environment variable is needed to run this program
แสดงว่าอาจมีการติดตั้งซ้ำดังนั้นให้เพิ่ม
JAVA_HOME="/usr/lib/jvm/java-6-sun"
ในไฟล์ /opt/alfresco/tomcat/bin/setclasspath.sh ข้างหลังบรรทัด CLASSPATH= ดังนี้
7. **** ถ้าต้องการให้ alfresco run ทุกครั้งที่เปิดเครื่องให้ไปที่ /etc/rc.local เพิ่ม
8. เปิด browser โดย http://ip-address:8080/alfresco
default login
user : admin
password : admin
1. ติดตั้ง jre โดย
root@alfresco:~# aptitude install sun-java6-jre |
2. ตรวจสอบ echo $JAVA_HOME ต้องได้ผลลัพธ์เป็น /usr/lib/jvm/java-6-sun/
root@alfresco:~# echo $JAVA_HOME /usr/lib/jvm/java-6-sun/ |
ขั้นตอนการติดตั้ง
1. ดาวน์โหลด alfresco-labs-tomcat-3Stable.tar.gz จาก ดาวน์โหลด
2. สร้าง directory alfresco ที่ /opt โดย
root@alfresco:~# mkdir -p /opt/alfresco |
3. นำไฟล์ที่ดาวน์โหลดมาแตกไว้ใน /opt/alfresco โดยใช้คำสั่ง
root@alfresco:~# tar xvfz alfresco-labs-tomcat-3Stable.tar.gz -C /opt/alfresco/ |
4. แก้ไขไฟล์ /etc/environment โดยเพิ่ม ดังนี้
JAVA_HOME="/usr/lib/jvm/java-6-sun/" CATALINA_HOME="/opt/alfresco/tomcat" CATALINA_BASE="/opt/alfresco/tomcat" CATALINA_TMPDIR="/opt/alfresco/tomcat/temp" JRE_HOME="/usr/lib/jvm/java-6-sun/" |
ขั้นตอนการติดตั้ง WCM
1. ดาวน์โหลดแพ็คเกจ alfresco-labs-wcm-3Stable.tar.gz จาก ดาวน์โหลด
2. แตกไฟล์ โดย
root@alfresco:~#tar xvfz alfresco-labs-wcm-3Stable.tar.gz -C /opt/alfresco |
3. ติดตั้ง WCM Bootstrap โดย copy ไฟล์ wcm-bootstrap-context.xml ไปไว้ที่ tomcat/shared/classes/alfresco/extension โดย ใช้คำสั่ง
root@alfresco:~#cp wcm-bootstrap-context.xml /opt/alfresco/tomcat/shared/classes/alfresco |
5. รันคำสั่ง
root@alfresco:~# ./virtual_alf.sh start |
6. รันคำสั่ง ./alfresco.sh start จะได้ผลลัพธ์ดังนี้
root@alfresco:~# ./alfresco.sh start Using CATALINA_BASE: /opt/alfresco/tomcat Using CATALINA_HOME: /opt/alfresco/tomcat Using CATALINA_TMPDIR: /opt/alfresco/tomcat/temp Using JRE_HOME: /usr/lib/jvm/java-6-sun/ |
ถ้ารันแล้วได้ผลแบบนี้
Neither the JAVA_HOME nor the JRE_HOME environment variable is defined
At least one of these environment variable is needed to run this program
แสดงว่าอาจมีการติดตั้งซ้ำดังนั้นให้เพิ่ม
JAVA_HOME="/usr/lib/jvm/java-6-sun"
ในไฟล์ /opt/alfresco/tomcat/bin/setclasspath.sh ข้างหลังบรรทัด CLASSPATH= ดังนี้
# First clear out the user classpath CLASSPATH= JAVA_HOME="/usr/lib/jvm/java-6-sun" //ส่วนที่เพิ่มเข้ามา |
7. **** ถ้าต้องการให้ alfresco run ทุกครั้งที่เปิดเครื่องให้ไปที่ /etc/rc.local เพิ่ม
export JAVA_HOME="/usr/lib/jvm/java-6-sun" export JRE_HOME="/usr/lib/jvm/java-6-sun/jre" cd /opt/alfresco ./alfresco.sh start exit 0 |
8. เปิด browser โดย http://ip-address:8080/alfresco
default login
user : admin
password : admin
วันอังคารที่ 31 มีนาคม พ.ศ. 2552
ติดตั้ง webmin บน Ubuntu 8.10
ติดตั้ง webmin บน Ubuntu 8.10
1. sudo aptitude install perl libnet-ssleay-perl openssl libauthen-pam-perl libpam-runtime libio-pty-perl libmd5-perl
2. wget http://prdownloads.sourceforge.net/webadmin/webmin_1.470_all.deb
3. sudo dpkg -i webmin_1.470_all.deb
4. เข้าสู่เว็บไซต์ https://server-ip:10000/
1. sudo aptitude install perl libnet-ssleay-perl openssl libauthen-pam-perl libpam-runtime libio-pty-perl libmd5-perl
2. wget http://prdownloads.sourceforge.net/webadmin/webmin_1.470_all.deb
3. sudo dpkg -i webmin_1.470_all.deb
4. เข้าสู่เว็บไซต์ https://server-ip:10000/
วันเสาร์ที่ 28 มีนาคม พ.ศ. 2552
วันอังคารที่ 17 มีนาคม พ.ศ. 2552
drupal 6.10 multi-site with ubuntu
ได้รับคำสั่งให้ช่วยทำ multi-site ก็เลยค้น ๆ ๆ ๆ แล้วก็ได้เวบนี้ http://drupal.org/node/53705 ใช้ในการอ้างอิง
สิ่งที่ต้องการ มีเวบ example.com อยู่แล้ว ต้องการทำ multi-site ชื่อ mul.example.com จัดการดังนี้
1. จัดการ dns ให้ใช้โดเมน mul.example.com
2. จัดการ virtual host โดยให้ DocumentRoot /var/www/drupal และ ServerName mul.example.com
3. ไปที่ /var/www/drupal/sites สร้าง ไดเรคทอรี mul.example.com
4. สร้างไดเรคทอรี files และ copy ไฟล์ settings.php จาก default
5. แก้ไข $db_url = 'mysqli://root:password@localhost/dbname'; และ $base_url = 'http://mul.example.com';
6. ติดตั้งโดย http://mul.example.com/install.php
แต่ติด error 500 Internal Server Error เข้าไปดูใน log error ของ apache พบ error ดังนี้
mod_rewrite: maximum number of internal redirects reached. Assuming configuration error. Use 'RewriteOptions MaxRedirects' to increase the limit if neccessary.
ตรวจสอบพบว่ามันไม่รู้จัก path install.php เลย เลยตรวจสอบ .htaccess ใน /var/www/drupal แล้วเอา comment หน้า RewriteBase / ออก จากนั้น reload apache2 ใหม่
ลองเข้าไปติดตั้งอีกครั้ง พบว่า ผ่านบริบูรณ์ แหะ ๆ นั่งงมตั้งนาน เจ้านายใจดีช่วยอีกแล้ว หุหุ ^-^
สิ่งที่ต้องการ มีเวบ example.com อยู่แล้ว ต้องการทำ multi-site ชื่อ mul.example.com จัดการดังนี้
1. จัดการ dns ให้ใช้โดเมน mul.example.com
2. จัดการ virtual host โดยให้ DocumentRoot /var/www/drupal และ ServerName mul.example.com
3. ไปที่ /var/www/drupal/sites สร้าง ไดเรคทอรี mul.example.com
4. สร้างไดเรคทอรี files และ copy ไฟล์ settings.php จาก default
5. แก้ไข $db_url = 'mysqli://root:password@localhost/dbname'; และ $base_url = 'http://mul.example.com';
6. ติดตั้งโดย http://mul.example.com/install.php
แต่ติด error 500 Internal Server Error เข้าไปดูใน log error ของ apache พบ error ดังนี้
mod_rewrite: maximum number of internal redirects reached. Assuming configuration error. Use 'RewriteOptions MaxRedirects' to increase the limit if neccessary.
ตรวจสอบพบว่ามันไม่รู้จัก path install.php เลย เลยตรวจสอบ .htaccess ใน /var/www/drupal แล้วเอา comment หน้า RewriteBase / ออก จากนั้น reload apache2 ใหม่
ลองเข้าไปติดตั้งอีกครั้ง พบว่า ผ่านบริบูรณ์ แหะ ๆ นั่งงมตั้งนาน เจ้านายใจดีช่วยอีกแล้ว หุหุ ^-^
วันศุกร์ที่ 13 มีนาคม พ.ศ. 2552
การ upgrade drupal จาก 6.08 เป็น 6.10 บน Ubuntu
วันนี้ได้รับคำสั่งจากเจ้านายใจดี ให้ช่วย upgrade drupal ให้หน่อย ไม่ขัดศรัทธาเจ้านายรีบทำให้ทันทีทันใด โดยวิธีทำก็ไม่ยากเพียงแต่รู้สึกใจตุ๊มๆ ต่อม ๆ 55 เริ่มต้นทำดังนี้
1. อันดับแรกต้องทำการ backup ตัวข้อมูลและ database โดย ตัวข้อมูลใช้คำสั่ง
cp -rp drupal drupal-bk
สำหรับ database ก็ใช้ phpMyAdmin หรือใช้ command ก็ได้ ถ้าใช้ command ก็ทำโดย
sudo mysqldump -u root -p drupal > drupal.sql
2. download เวอร์ชันใหม่ล่าสุดโดย
wget http://ftp.drupal.org/files/projects/drupal-6.10.tar.gz
3. เข้าไปหน้า Admin แล้วไปกำหนด theme ให้เป็น default theme (Garland)
4. ปิดโมดูลทั้งหมด ยกเว้น Core
5. แตกไฟล์ที่โหลดมาโดย tar xvfz drupal-6.10.tar.gz
6. ลบไดเรคทอรี drupal อันเก่าออก
7. ย้ายไดเรคทอรีที่แตกไปแทนไดเรคทอรีเก่า
8. copy ใน sites ที่ backup ไว้โดย cp -rp drupal-bk/sites/* drupal/sites/
9. run update.php และตรวจสอบโดยเข้าไปที่ Admin -> Status report จะเห็นเป็นเวอร์ชัน 6.10
10. เปิด module ทั้งหมด แล้วเปลี่ยน theme เหมือนเดิม
11. ใช้คำสั่งสำหรับ update module ทั้งหมด โดย drush pm
12. ตรสจสอบความถูกต้องโดยไปที่ Status report อีกครั้งเป็นอันเสร็จ
1. อันดับแรกต้องทำการ backup ตัวข้อมูลและ database โดย ตัวข้อมูลใช้คำสั่ง
cp -rp drupal drupal-bk
สำหรับ database ก็ใช้ phpMyAdmin หรือใช้ command ก็ได้ ถ้าใช้ command ก็ทำโดย
sudo mysqldump -u root -p drupal > drupal.sql
2. download เวอร์ชันใหม่ล่าสุดโดย
wget http://ftp.drupal.org/files/projects/drupal-6.10.tar.gz
3. เข้าไปหน้า Admin แล้วไปกำหนด theme ให้เป็น default theme (Garland)
4. ปิดโมดูลทั้งหมด ยกเว้น Core
5. แตกไฟล์ที่โหลดมาโดย tar xvfz drupal-6.10.tar.gz
6. ลบไดเรคทอรี drupal อันเก่าออก
7. ย้ายไดเรคทอรีที่แตกไปแทนไดเรคทอรีเก่า
8. copy ใน sites ที่ backup ไว้โดย cp -rp drupal-bk/sites/* drupal/sites/
9. run update.php และตรวจสอบโดยเข้าไปที่ Admin -> Status report จะเห็นเป็นเวอร์ชัน 6.10
10. เปิด module ทั้งหมด แล้วเปลี่ยน theme เหมือนเดิม
11. ใช้คำสั่งสำหรับ update module ทั้งหมด โดย drush pm
12. ตรสจสอบความถูกต้องโดยไปที่ Status report อีกครั้งเป็นอันเสร็จ
สมัครสมาชิก:
บทความ (Atom)